ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร?

ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร?

11 Jul 2025

ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร?

ทำไมต้องทำประกันรถยนต์?

        เพราะประกันรถยนต์มีความคุ้มครองที่จะช่วยคุ้มครองเจ้าของรถที่ทำประกันในการแบ่งเบาภาระด้านการเงินในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุกับตัวรถ และโดยทั่วไปประกันรถยนต์จะคุ้มครองถึงค่ารักษาพยาบาลและการเสียชีวิตให้กับผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และอาจรวมถึงบุคคลภายนอกในการชดชยค่าเสียหายจากอุติเหตุด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ผู้ขับขี่รถควรทำประกันรถยนต์

ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท?

ประกันภัยรถยนต์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่  “ภาคสมัครใจ” และ “ภาคบังคับ” ซึ่งประกันทั้งสองแบบจะแตกต่างกันดังนี้

  • ประกันภาคบังคับ

“ประกันภาคบังคับ” หรือที่เรียกกันว่า พรบ. ซึ่งทุกประเภท เช่น รถยนต์ รถกระบะ รถตู้ รถบรรทุก หรือ รถจักรยานยนต์ ก็จำเป็นจะต้องทำประกันภาคบังคับนี้กันทั้งหมด และต้องต่ออายุในทุก ๆ ปี หากไม่ต่ออายุจะไม่สามารถต่อภาษีรถได้ และยังมีโทษปรับตามกฎหมายอีกด้วย

  • ประกันภาคสมัครใจ

“ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ” เป็นประกันรถที่ให้ความคุ้มครองโดยบริษัทเอกชน วงเงินความคุ้มครองจะสูงมากกว่า  การต่อประกันจะเป็นแบบปีต่อปี ซึ่งไม่มีข้อกฎหมายที่บังคับว่าจะต้องทำประกันประเภทนี้ แต่ด้วยความคุ้มครองที่ค่อนข้างครอบคลุม จึงเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่คนใช้รถใช้ถนนเป็นประจำ ขาดไปไม่ได้โดยเด็ดขาด 

ประกันแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร?

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 

ประกันรถยนต์ชั้น 1 มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุด เช่น ความเสียหายของตัวรถทั้งแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี, ความคุ้มครองต่อร่างกาย ค่ารักษาพยาบาล, การคุ้มครองต่อทรัพย์สิน,  ค่าประกันตัวหากถูกดำเนินคดีอาญา, บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน เป็นต้น


ข้อดี:

  • ให้การคุ้มครองครอบคลุมที่สุด
  • คุ้มครองรถและทรัพย์สิน รวมถึงร่างกายและชีวิต ทั้งของผู้ทำประกันและคู่กรณี
  • คุ้มครองรถกรณีนอกเหนือจากอุบัติเหตุ เช่น สูญหาย ไฟไหม้ ภัยธรรมชาติ (เช่น น้ำท่วม พายุ) และการก่อการร้าย

เหมาะกับใคร:

  • รถใหม่ป้ายแดง
  • ผู้ขับขี่มือใหม่
  • ผู้ที่ต้องการการคุ้มครองที่ครอบคลุม

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+

  ประกันรถยนต์ ชั้น 2+ ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันรถยนต์ชั้น 1 ขณะที่เบี้ยประกันรายปีไม่สูงเท่ากับประกันชั้น 1 แต่อาจมีเงื่อนไขที่ประกันชั้น 2+ ไม่คุ้มครองเท่ากับประกันชั้น 1 เช่น ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ จะให้ความคุ้มครองความเสีหายของรถแบบมีคู่กรณีเท่านั้น ไม่คุ้มแบบไม่มีคู่กรณี เช่น การชนสิ่งของ ชนต้นไม้ รั้วบ้าน เป็นต้น เหมาะกับรถยนต์ที่ใช้งานเกิน 7 ปีแต่ไม่เกิน 15 ปี

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ทำประกันในส่วนของรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นความสูญหาย หรือเหตุไฟไหม้ของตัวรถยนต์ แต่ไม่คุ้มครอง ในส่วนของการบาดเจ็บ ชีวิตและทรัพย์สิน ปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลงมากเนื่องจากคนนิยมเลือกทำประกันชั้น 2+ มากกว่า 

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ เป็นประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองรถในกรณีอุบัติเหตุรถชนรถเท่านั้น จะไม่คุ้มครองค่าความเสียหายในกรณีอื่น เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ไฟไหม้ ถูกโจรกรรมสูญหาย เป็นต้น หากรถยนต์ของคุณใช้งานน้อยไม่บ่อยครั้ง หรือรถมีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป ประกันรถยนต์ชั้น 3+ อาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เหมาะกับผู้ขับรถที่ชำนาญแล้วหรือรถใช้งานไม่บ่อย

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 ให้ความคุ้มครองคู่กรณีเป็นหลัก เมื่อเกิดจากอุบัติเหตุทางรถ จะให้ความคุ้มครองเฉพาะร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินเช่น ค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล ของคู่กรณีเท่านั้น เหมาะกับผู้ขับรถที่ชำนาญแล้ว รถใช้งานน้อย ต้องการประกันที่ราคาประหยัด

จากบทนี้หวังว่าทุกคนจะได้ความรู้เกี่ยวกับ ประกันรถยนต์ว่ามีกี่ประเภท และแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร การเลือกซื้อประกันรถยนต์จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับกับการใช้รถของเรา และพร้อมในการจะซื้อประกันรถยนต์ประเภทนั้นด้วย

           OOHOO.io  ให้คุณเลือกได้ทั้งชั้น 1, 2+, 3+, 2 และ 3 สามารถที่จะเลือกประกันรถยนต์ ที่เหมาะสมกับการใช้รถของคุณได้ง่าย ๆ เช็คเบี้ยประกันฟรี! เปรียบเทียบประกันที่คุณพอใจ จะซื้อก็ทำได้ด้วยตัวเองแบบออนไลน์ 24 ชม. 

           OOHOO.io แพลตฟอร์มประกันออนไลน์ ที่ให้คุณจัดการเรื่องประกันได้ด้วยตัวเองทุกวัน 24 ชม. ให้คุณเลือกได้ จาก 23 บริษัทประกันชั้นนำ กดปุ่มเช็คเบี้ยประกันที่ด้านล่างได้เลย!